หลุย
ส้ม |
หลุยส์วิตตองมาย์ตีเยร์ หรือมักเรียกว่า หลุยส์วิตตอง และย่อว่า แอลวี เป็นบริษัทเครื่องแต่งกายตามสมัยนิยมซึ่งนายหลุยส์ วิตตอง ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1854 และเป็นเจ้าของยี่ห้อ หลุยส์ วิตตองอักษรย่อแอลวีดังกล่าวปรากฏบนผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของบริษัทซึ่งมีตั้งแต่กระเป๋าหรูหรา สินค้าทำจากหนังสัตว์ ไปจนถึงสินค้าพร้อมใส่ รองเท้า นาฬิกา เครื่องทองของประดับ แว่นตา และหนังสือ ปัจจุบัน ลุยวิตตงเป็นบริษัทด้านเครื่องแต่งกายตามสมัยนิยมชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก ผลิตและขายสินค้าของตนเองทางร้านที่ตนเป็นเจ้าของ ผ่านห้างสรรพสินค้า และผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซนอกจากนี้ ยี่ห้อหลุยส์ วิตตอง ยังได้รับการขนานนามว่ามีราคาแพงที่สุดติดต่อกันหกปี (ค.ศ. 2006 ถึง 2012) ด้วย สนับสุนนโดยlucaclub88 เว็ป บาคาร่าออนไลน์ ที่ดีที่สุด หลุยส์ วิตตอง ก่อตั้งโดย "หลุยส์ วิตตอง" ในปี ค.ศ.1854 ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส[7] โดยปี ค.ศ.1885 บริษัท ได้เปิดร้านสาขาแรกในกรุงลอนดอน จากที่มีการเลียนแบบอย่างต่อเนื่องของหลุยส์ วิตตองแล้ว วิตตองจึงสร้างรูปแบบใหม่ คือผ้าใบดามิเยร์ ในปี ค.ศ.1892 หลุยส์ วิตตอง ได้เสียชีวิต และฝ่ายบริหารของบริษัท ได้ส่งมอบกิจการให้กับลูกชายของเขา[7][5] ในปี ค.ศ.1896 "จอร์จ วิตตอง" ได้เปิดตัวกระเป๋าผ้าใบรูปแบบใหม่ คือ ผ้าใบมอนอแกรม โฆษณาสำหรับกระเป๋า หลุยส์ วิตตอง ในปี ค.ศ.1898 ในปี ค.ศ.1913 วิตตองได้เปิดร้านค้าใหม่ในช็องเซลีเซ เป็นร้านค้าสินค้าทางท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้น ร้านยังเปิดในนิวยอร์ก มุมไบ วอชิงตัน ดี.ซี. ลอนดอน อะเล็กซานเดรีย และบัวโนสไอเรส ในปี ค.ศ.1936 จอร์จ วิตตอง ได้เสียชีวิต และลูกชายของเขา "แกสตัน-หลุยส์ วิตตอง" คาดว่าจะได้ควบคุมบริษัทแทนพ่อของเขา[7] ความร่วมมือ ในสงครามโลกครั้งที่สอง หลุยส์ วิกตองได้เข้าร่วมมือกับระบอบนาซี ในช่วงเยอรมันยึดครองของฝรั่งเศส หนังสือฝรั่งเศสหลุยส์วิตตอ ฝรั่งเศสซากา ประพันธ์โดยนักข่าวฝรั่งเศส ชื่อ "สเตฟานี บอน วิซินิตี้" และเผยแพร่โดย "ปาริเซียน เอดิชั่นส์ เฟยาร์ด"[8] บอกว่าสมาชิกของครอบครัววิตตอง ช่วยงานรัฐบาลหุ่นเชิดที่นำโดยนายจอมพลฟิลิปป์ เพเตน และเพิ่มความมั่งคั่งให้กับพวกเขา จากการทำธุรกิจกับชาวเยอรมัน ครอบครัววิตตองตั้งโรงงานเพื่อผลิตสิ่งประดิษฐ์อันน่ายกย่องให้กับเพเตน ซึ่งรวมถึงประติมากรรมมากกว่า 2,500 ชิ้น แคโรไลน์ บาบูลล์ โฆษกของสำนักพิมพ์เฟยาร์ด กล่าวว่า "พวกเขาไม่ได้โต้แย้งอะไรในหนังสือ แต่พวกเขากำลังพยายามที่จะฝังมันโดยแกล้งทำเป็นมันไม่ได้อยู่"[9] การตอบสนองต่อการเปิดตัวของหนังสือเล่มนี้ในปี ค.ศ.2004 โฆษกของ LVMH กล่าวว่า "นี่คือประวัติศาสตร์โบราณ หนังสือเล่มนี้ครอบคลุมช่วงเวลาที่ครอบครัวทำงานและนานก่อนที่มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ LVMH เรามีความหลากหลาย อดทนกับทุกสิ่ง ที่ควรจะเป็นในบริษัทสมัยใหม่"[9] และโฆษกของ ยังกล่าวเหน็บแนมกับนิตยสาร Le Canard enchaîné ว่า "เราไม่ได้ปฏิเสธข้อเท็จจริง แต่ที่น่าเสียใจที่ผู้เขียนวิซินิตี้ได้พูดเกินจริง เรายังไม่ได้สร้างแรงกดดันใดๆกับใคร ถ้าผู้สื่อข่าวต้องการตรวจสอบด้วยตัวเอง มันก็จะดีกับตัวผม" |