ประวัติศาสตร์จีน
ต้นข้าว |
ประวัติศาสตร์จีน ราชวงศ์ชาง ประมาณ 2000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชุมชนเกษตรกรรมตามฝั่งแม่น้ำหวงเหอ เริ่มเจริญเติบโตเป็นเมือง อารยธรรมยุคแรกเริ่มต้นที่นั่น และวัฒนธรรมจีนในปัจจุบันวิวัฒนาการมาจากจุดเริ่มต้นสมัยโบราณ นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า จีนน่าจะเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดอย่างต่อเนื่องของโลก กษัตริย์ (ฮ่องเต้) แห่งราชวงศ์ชาง ประมาณ 1,766 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์ชางเริ่มปกครองบางเมือง พวกเขาตั้งราชวงศ์ ซึ่งเป็นวงศ์ตระกูลหรือกลุ่มที่ปกครองเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน กษัตริย์มีความรับผิดชอบกิจกรรมทางศาสนา พวกเขาอ้างว่าเหล่าทวยเทพยินยอมให้ปกครอง กษัตริย์ราชวงศ์ชาง ปกครองส่วนกลางของที่ราบจีนภาคเหนือ ประยูรญาติของพวกเขาปกครองพื้นที่ห่างไกล ราชวงศ์ชางใช้รถม้าเพื่อปกป้องตัวเองจากพวกเผ่าร่อนเร่ที่อาศัยอยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก (น่าจะเป็นมองโกล) พวกเขาทำสงครามกับคนเผ่าเร่ร่อนเหมือนกับราชวงศ์โจว (Zhou หรือ Joh) ราชตระกูลชาง ในวัฒนธรรมราชวงศ์ชาง การเคารพบิดามารดาและบรรพบุรุษแห่งตระกูลเป็นสิ่งสำคัญ ราชวงศ์ถูกผูกติดอยู่อย่างใกล้ชิดกับศาสนา ชาวจีนเชื่อกันว่าวิญญาณของบรรพบุรุษของพวกเขาอาจนำมาซึ่งโชคลาภที่ดี วงศ์ตระกูลจึงเคารพต่อบรรพบุรุษของบิดาด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นเกียรติยศของพวกเขา ผู้ชายปกครองภายในวงศ์ตระกูล (จีนถือมากในเรื่องนี้ ถ้าไม่มีลูกผู้ชายเขาจะหาเมียไปเรื่อย ๆ) การพัฒนาภาษา กษัตริย์ราชวงศ์ชางอ้างตัวว่าเป็นผู้ที่สามารถมีอิทธิพลเหนือเทพเจ้าพวกเขาได้รับข้อความจากเทพเจ้าผ่านกระดูก พยากรณ์ (oracle bones) กระดูกเหล่านี้เป็นกระดูกสัตว์ที่นักบวชแห่งราชสำนักของราชวงศ์ชางได้ขีดเขียนคำถามต่อเทพเจ้าไว้ ต่อมา พวกเขาได้เอาท่อนไม้อุ่นๆแตะกับกระดูกเพื่อทำให้กระดูกเหล่านั้นแตก และตีความตามรอยแตก พวกเขาได้ขีดเขียนคำตอบบนกระดูก รอยขีดข่วนเป็นรูปแบบแรกของการเขียน สนับสนุนบทความโดย lucaclub88 เว็บ บาคาร่าออนไลน์ ที่ดีที่สุด ราชวงศ์ชางก็เหมือนกับคนโบราณพวกอื่น ๆ ได้พัฒนาระบบการเขียนของพวกเขาด้วยแผนภูมิ ภาพวาดที่เรียบง่ายที่เป็นตัวแทนของคำหรือความคิด ระบบในการเขียนของจีนใช้สัญลักษณ์จำนวนมาก คนต้องรู้ตัวอักษรอย่างน้อย 1,500 ตัวอักษร จึงจะสามารถอ่านและเขียนได้ คนที่ได้รับการศึกษา จำเป็นต้องรู้ตัวอักษรอย่างน้อย 10,000 ตัวอักษร ข้อดีอย่างหนึ่งของระบบการเขียนภาษาจีน ก็คือคุณสามารถอ่านภาษาจีนได้โดยไม่มีความสามารถในการพูดภาษาจีนได้ คนทั่วประเทศจีนสามารถเรียนรู้ภาษาเขียนของพวกเขาได้ แม้ว่าภาษาพูดจะแตกต่างกัน ระบบได้ช่วยรวมดินแดนขนาดใหญ่ที่แตกต่างกันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ราชวงศ์โจวชาวโจวอพยพลงมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาปะทะกับชาวชางหลายครั้ง ประมาณ 1027 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ผู้นำชาวโจว ชื่อ วูวัง (Wu Wang) ได้นำทัพเข้าโจมตีชาวชางจนพ่ายแพ้ ชาวโจวได้นำแนวปฏิบัติของชาวชางหลายอย่างมาใช้ เพื่อไม่ให้ชัยชนะของพวกเขานำมาซึ่งการกวาดล้างการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ผู้นำชาวโจวยังนำเสนอความคิดใหม่ ๆ แก่อารยธรรมจีน ชาวโจวและวัฏจักรของราชวงศ์ กษัตริย์โจวได้ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ในประเทศจีนราชวงศ์จีนเจริญขึ้นและเสื่อมลงตามรูปแบบนักประวัติศาสตร์เรียกรูปแบบของการเจริญขึ้นและเสื่อมลงของราชวงศ์ในประเทศจีน ว่า วัฏจักรของราชวงศ์ (Dynastic cycle) กษัตริย์แห่งราชวงศ์โจวก็เหมือนกับชาวอียิปต์โบราณ คิดว่า ความยุ่งยากจะมาหา ถ้าผู้ปกครองทำให้สวรรค์ไม่พอใจ เพื่อแสดงเหตุผลถึงชัยชนะอันสมควรของพวกเขา ผู้นำโจวประกาศว่า กษัตริย์ชางองค์สุดท้ายเป็นผู้ปกครองที่ไม่เอาไหน พวกเขาอ้างว่า เทพเจ้าได้นำสิทธิในการปกครองของชาวชางออกไปและมอบให้แก่ชาวโจว ในที่สุดความคิดที่ว่าผู้ปกครองที่ดีได้รับการอนุมัติจากเทพเจ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีนเมื่อผู้ปกครองชั่วร้ายหรือโง่คนที่เชื่อเรื่องการอนุมัติของเทพเจ้าจะถูกกำจัดออกไป ความคิดนี้ถูกเรียกว่าอาณัติแห่งสวรรค์ (Mandate of Heaven) คนจีนเชื่อว่า ความยุ่งยาก เช่น การลุกฮือของชาวไร่ชาวนา การรุกราน น้ำท่วมหรือการเกิดแผ่นดินไหว นั่นหมายความว่าอาณัติแห่งสวรรค์ถูกพรากไป แล้วมันเป็นเวลาสำหรับผู้นำคนใหม่ และอาณัติแห่งสวรรค์อาจผ่านไปยังตระกูลขุนนางอีกตระกูลหนึ่ง การปกครองของราชวงศ์โจว เหมือนกับราชวงศ์ชาง ราชวงศ์โจวไม่ได้มีการปกครองส่วนกลางที่เข้มแข็ง กษัตริย์ทำให้คนที่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือคนอื่น ๆ ที่น่าเชื่อถืออยู่ในความดูแลของส่วนภูมิภาคผู้ปกครองท้องถิ่นเหล่านั้น หรือขุนนางถวายความจงรักภักดีและราชการทหารแก่กษัตริย์ ในทางกลับกัน กษัตริย์ก็สัญญาว่าจะช่วยปกป้องดินแดนของตนในขณะที่เมืองเล็กของพวกเขากลายเป็นเมืองใหญ่ขุนนางก็เติบโตแข็งแกร่ง กลุ่มอื่นๆเป็นอันมากก็เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา ขุนนางเป็นส่วนน้อยขึ้นอยู่กับกษัตริย์ พวกเขาก็เริ่มต่อสู้กันเองและกับคนอื่น ๆ ดินแดนที่พวกเขาผนวกเข้ามาอยู่ในการควบคุมของตนก็ขยายตัวเป็นดินแดนของจีน ยุคแห่งภาวะสงคราม การรุกรานดินแดนจีน เป็นเรื่องที่คงอยู่ตลอดในประวัติศาสตร์จีน หลังจาก 800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เผ่าคนเร่ร่อนจากทางเหนือและทางตะวันตกได้เข้ามาบุกจีน ในระหว่าง 771 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ผู้รุกรานได้ทำลายเมืองหลวง ชื่อ โหว (Hao) และฆ่ากษัตริย์ ตระกูลของกษัตริย์ ได้อพยพหนีไปลั่วหยาง (Luoyang) และตั้งเมืองหลวงใหม่ เพราะกษัตริย์อ่อนแอ ขุนนางก็ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อำนาจของพวกเขาเติบโตขึ้น ขุนศึกเหล่านี้ก็อ้างตัวเองว่าเป็นกษัตริย์ในดินแดนของพวกเขา การกระทำนี้นำไปสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า ยุคแห่งภาวะสงคราม (The Time of the Warring States) ซึ่งเริ่มขึ้นประมาณ 403 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ปรัชญาในสมัยโบราณของจีน ในช่วงแห่งภาวะสงครามในประเทศจีนนี้ สังคมจีนประสบความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ขุนศึกและกษัตริย์ต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งกันปกครองดินแดน นักวิชาการประหลาดใจว่าสิ่งใดนำสันติภาพไปยังดินแดน พวกเขาพัฒนาวิธีการคิดสามวิธี คือ การยึดถือกฎหมาย ขงจื้อและเต๋า แต่ละอย่างก็เป็นปรัชญาหรือการศึกษาตรรกวิทยาเรื่องความจริงขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ ค่านิยมและโลก ลัทธิการยึดถือกฎหมาย ปรัชญาข้อหนึ่ง คือ ลัทธิการยึดถือกฎหมาย หรือความเชื่อที่ว่าการปกครองที่มีสมรรถภาพสูง มีประสิทธิภาพและระบบกฎหมายที่เข้มงวดเป็นกุญแจในการการจัดระเบียบสังคม ผู้สนับสนุนลัทธิการยึดถือกฎหมายกลัวความไม่เป็นระเบียบในสังคม พวกเขาตัดสินใจว่า การปกครองที่แข็งแกร่งที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จะฟื้นฟูระเบียบและแก้ปัญหาของจีน กฎหมายที่เข้มงวดและการลงโทษอย่างรุนแรง ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมายเชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนชั่วร้าย ดังนั้นพวกเขาคิดว่า คนจะทำความดีเมื่อถูกบังคับให้ทำเท่านั้น ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมายคิดว่า การปกครองควรผ่านกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อควบคุมแนวทางให้ผู้คนประพฤติ พวกเขาแย้งว่าการลงโทษที่รุนแรงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้คนกลัวการทำความผิด การควบคุมการปกครองเพิ่มมากขึ้น ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมาย สอนว่านักปกครองควรตอบแทนคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมาย เน้นการลงโทษมากกว่าการให้รางวัล ฉาง หยาง (Shang Yang) ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมายคนหนึ่ง ต้องการจะบังคับให้คนรายงานผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย (lawbreakers) ในความเป็นจริง เขาคิดว่าคนที่ไม่ได้รายงานผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย ควรจะถูกสำเร็จโทษ ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมาย ไม่ต้องการให้คนร้องทุกข์เกี่ยวกับการปกครอง หรือคำถามว่ารัฐบาลได้ทำอะไรแล้ว พวกเขานิยมการจับกุมคนที่ถามรัฐบาลหรือสอนความคิดที่แตกต่าง พวกเขายังสอน ว่า ผู้ปกครองควรเผาหนังสือที่มีปรัชญาหรือความคิดที่แตกต่างกัน Link: คลิ๊กที่นี่ |